เมนู

ไม่ข้องอยู่ในเบญจขันธ์อันเป็นอนาคต ย่อมพิจารณาเห็นบทอันสงบ
ระงับอย่างยิ่งด้วยปัญญาอันชอบ ก็บทนั้นแล อันภิกษุนั้นทำให้แจ้ง
แล้ว โดยอาการทั้งปวง อนุสัยคือมานะ...อนุสัยคืออวิชชา เธอยังละ
ไม่ได้โดยอาการทั้งปวง เธอย่อมกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญา
วิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญา
อันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่า
อนุปาทาปรินิพพาน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปุริสคติ 7 ประการนี้
และอนุปาทาปรินิพพาน.
จบ ปุริสคติสูตรที่ 2

อรรถกถาปุริสคติสูตรที่ 2


ปุริสคติสูตรที่ 2

มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า ปุริสคติโย ได้แก่ ญาณคติของบุรุษ, บทว่า อนุปาทา
ปรินิพฺพานํ
ได้แก่ ปรนิพพานอันหาปัจจัยมิได้. บทว่า โน จสฺส
ความว่า ถ้ากรรมอันบังเกิดในอัตตภาพอันเป็นอดีต จักไม่ได้มีแล้ว
ไซร้. บทว่า โน จ เม สิยา ความว่า ในอัตตภาพนี้ ในกาลบัดนี้
กรรมก็ไม่พึงมีแก่เรา. บทว่า น ภวิสฺสติ ความว่า บัดนี้กรรมอัน
จะยังอัตตภาพอันเป็นอนาคตของเราให้บังเกิด จักไม่มี. บทว่า
น เม ภวิสฺสติ ความว่า อัตตภาพของเราในอนาคตจักไม่มี. บทว่า

ยทตฺถิ ยํ ภูตํ ความว่า เบ็ญจขันธ์ที่กำลังมีอยู่ ที่มีแล้ว ที่เป็นปัจจุบัน
เกิดขึ้นเฉพาะหน้า. บทว่า ตํ ปชหามีติ อุเปกฺขํ ปฏิลภติ ความว่า
ย่อมได้อุเบกขาอันสัมปยุตด้วยวิปัสสนาญาณ ว่า เราจะละเบ็ญจขันธ์
นั้น ด้วยการละฉันราคะในเบ็ญจขันธ์นั้นเสีย. บทว่า ภเว น รชฺชติ
ความว่าย่อมไม่กำหนัดในเบ็ญจขันธ์ที่เป็นอดีต ด้วยตัณหาและ
ทิฏฐิ. บทว่า สมฺภเว น รชฺชติ ความว่า ย่อมไม่กำหนัดในเบ็ญจขันธ์
แม้ที่เป็นอนาคต ก็เหมือนกันนั่นแหละ. บทว่า อตฺถุตฺตริ ปทํ สนฺตํ
ความว่า ชื่อว่า บทคือพระนิพพาน เป็นบทสงบอย่างยิ่งมีอยู่. บทว่า
สมฺมปฺปญฺาย ปสฺสติ ความว่า ย่อมเห็นโดยชอบ ซึ่งบทคือพระ-
นิพพานนั้นด้วยมรรคปัญญา พร้อมด้วยวิปัสสนา. บทว่า น สพฺเพน
สพฺพํ
ความว่า บททั้งปวงอันภิกษุไม่ทำให้แจ้งแล้ว โดยอาการ
ทั้งปวง เพราะละกิเลสบางเหล่ายังไม่ได้ เพราะความมืดอันเป็น
ตัวปกปิดสัจจะยังกำจัดไม่ได้โดยประการทั้งปวง. บทว่า หญฺญมาเน
ความว่า ดังแผ่นเหล็กที่ลุกโชน อันนายช่างเอาคีมจับแล้วเอาฆ้อนทุบ.
บทว่า อนฺตราปรินิพฺพายี ความว่า จำเดิมแต่กาลอันเป็น
ลำดับจากเหตุเกิดขึ้น พระอนาคามีบุคคล ไม่ล่วงเลยท่ามกลางอายุ
แล้ว ปรินิพพานด้วยกิเลสปรินิพพานในระหว่างนี้. บทว่า อนุปหจฺจ
ตลํ
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงแสดงอันตราปรินิพพายี
บุคคลไว้ 3 จำพวก ด้วยอุปมา 3 ข้อ เหล่านี้คือ สะเก็ดลูกไฟเหล็ก
ไม่กระทบพื้น, ไม่ล่วงไปถึงพื้น, พึงดับเสียในอากาศนั่นแล.
บทว่า อุปหจฺจปรินิพฺพายี ความว่า พระอนาคามีบุคคล
ล่วงกลางอายุ จดที่สุดแห่งจิตดวงหลัง แล้วปรินิพพาน. บทว่า

อุปหจฺจ ตลํ ความว่า สะเก็ดลูกไฟเหล็กติดไฟโพลงอยู่ ไม่ล่วง
เลยพื้นอากาศ หรือเข้ากระทบพื้นดิน เพียงตกไปที่ดินเท่านั้น
แล้วก็ดับไป.
พระอนาคามีบุคคล ผู้ทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป โดยไม่มี
สังขารอื่นกระตุ้นเตือน คือโดยไม่มีความพยายาม แล้วปรินิพพาน
เพราะเหตุนั้น พระอนาคามีนั้น จึงชื่อว่า อสังขารปรินิพพายี
ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องมีสังขารอื่นช่วยกระตุ้นเตือน.
พระอนาคามีบุคคล ผู้ทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไปโดยมีสังขาร
อื่นช่วยกระตุ้นเตือนคือต้องประกอบด้วยความเพียรแล้วปรินิพพาน
เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า สังขารปรินิพพายี ผู้ปรินิพพาน โดยต้อง
มีสังขารอื่นช่วยกระตุ้นเตือน.
บทว่า คจฺฉํ ความว่า ป่าอันปราศจากอารักขา. บทว่า
ทายํ ความว่า ป่าอันมีอารักขา คืออันท่านให้เพื่อประโยชน์แก่การ
อภัยแล้ว. คำที่เหลือในบทเหล่านี้มีอรรถง่านทั้งนั้น. ในพระสูตร
นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงพระอริยบุคคลทั้งหลาย ดังนี้แล.
จบ อรรถกถาอุริสคติสูตรที่ 2

3. ติสสสูตร


[53] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขา
คิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไป เทวดา
2 ตน มีรัศมีงาม ยังภูเขาคิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ
ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วเทวดาตนหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มี
พระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นแล้ว
เทวดาอีกตนหนึ่งกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้
หลุดพ้นด้วยดีแล้ว เพราะไม่มีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ เทวดาเหล่านั้น
ได้กราบทูลดังนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอพระทัย ลำดับนั้น เทวดา
เหล่านั้นทราบว่า พระศาสดาทรงพอพระทัย จึงถวายอภิวาท
กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้น ครั้นล่วงราตรีนั้นไป
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เมื่อคืนนี้ เมื่อปฐมยามล่วงไป มีเทวดา 2 ตนมีรัศมีงาม ยังภูเขา
คิชฌกูฏทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ อภิวาทแล้ว ได้ยืน
อยู่ ณ ที่ควรส่วนหนึ่ง ครั้นแล้ว เทวดาตนหนึ่งได้กล่าวกะเราว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นแล้ว เทวดาอีกตนหนึ่ง
กล่าวว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุณีเหล่านี้หลุดพ้นด้วยดีแล้ว
เพราะไม่มีอุปาทานขันธ์เหลืออยู่ เทวดาเหล่านั้นครั้นกล่าวแล้ว
อภิวาทเรา กระทำประทักษิณแล้วหายไป ณ ที่นั้นนั่นแล ก็สมัยนั้นแล
ท่านพระมหาโมคคัลลานะนั่งอยู่ในที่ไม่ไกลพระผู้มีพระภาคเจ้า